วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

                                                                 ประวัติศาสตร์ลูกฟุตบอลในฟุตบอลโลก


  กลายเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติที่ขาดไปไม่ได้ซะแล้วกับศึกฟุตบอลโลกทุกสมัย ที่จะต้องมีการเปิดตัวลูกฟุตบอลอย่างเป็นทางการ
นับตั้งแต่ปี 1970 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ อาดิดาสค่ายผลิตอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่จากเมืองเบียร์ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตลูกหนังกลมๆ ลูกนี้อย่างเป็นทางการ และผูกขาดสัมปทานมายาวนานจนถึงปัจจุบัน
อาววละ(สำนวนใครวะ คุ้นๆ) เรามาดูประวัติลูกฟุตบอลที่ใช้ในบอลโลก กันดีกว่า


1. 1970 : Adidas Telstar


เป็นครั้งแรกที่ อาดิดาสบริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาค่ายยักษ์ใหญ่ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ผลิตลูกบอลอย่างเป็นทางการของฟุตบอลโลก
และเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เปิดศักราชใหม่เกี่ยวกับโฉมหน้าลูกบอล
โดยใช้วัตถุดิบแบบใหม่ ไม่ใช่ลูกยางแบบเก่า แต่เป็นหนังเย็บติดกัน 32 ชิ้น แบ่งเป็นสีดำที่เป็น 5 เหลี่ยม 12 ชิ้น และ สีขาวหกเหลี่ยมอีก 20 ชิ้น
สำหรับสาเหตุที่ใช้แต่หนังสีขาว-ดำนั้น เป็นเพราะว่าศึก เวิลด์ คัพ 1970” ที่เม็กซิโก เป็นปีที่มีการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกไปทั่วโลกเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ก็มีการถ่าย เก็บไว้ แต่ไม่ได้ถ่ายทอดสด อย่างที่ทราบกันว่า
โทรทัศน์สมัยนั้นมีแต่สีขาว-ดำ การที่จะให้เห็นลูกบอลได้ง่าย
ก็ต้องทำให้มันเป็นลายขาว-ดำซะเลย เวลาบอลกลิ้งจะเห็นชัดเจนดี เป็นการโฆษณาแบรนด์ อาดิดาสไปในตัวด้วย
จึงกลายเป็นที่มาของการเย็บหนังให้เป็นลูกบอลทรงกลม และชื่อ “Telstar” ก็ผันมาจาก “Star of Television” แหม...ช่างฉลาดล้ำลึกเสียจริงๆ


2.1974 : Adidas Telstar


คล้ายกับแบบเดิมเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ออกแบบลวดลายให้สวยเด่นยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นแล้ว เยอรมนี ชาติเจ้าภาพ ยังได้ปั๊มตัวหนังสือติดไว้เป็นเอกลักษณ์ด้วยการระบุว่านี่คือลูกบอลที่

ใช้ในการแข่งขันครั้งนี้โดยเฉพาะ
หากแต่ยังคงยึดชื่อเดิมว่า “Adidas Telstar”ก็ผันมาจาก “Star of Television” แหม...ช่างฉลาดล้ำลึกเสียจริงๆ



3.1978 : Adidas Tango Durlast

ลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนติน่า โดย อาดิดาสได้ออกแบบลูกฟุตบอลนี้เพื่อให้เป็นมาตรฐานสำห รับลูกฟุตบอลไปอีก 20 ปีข้างหน้า และมันก็ยังเป็นลูกฟุตบอล ที่ แพงที่สุดในโลก ในสมัยน้ันด้วยราคาลูกละ 50 ปอร์นรวมภาษี

4.1982 : Adidas Tango Espana

สเปน ชาติเจ้าภาพ ถือโอกาสเรียกมันว่า “Adidas Tango Espana” เพื่อประกาศศักดาตัวเอง
ทั้งที่ลวดลายไม่ได้ผิดแผกไปจากแทงโก้ตัวเดิมเมื่อ 4 ปีก่อนมากมายนัก
อย่างไรก็ตาม คุณภาพของหนังที่ใช้ผลิตนั้นถือว่าเยี่ยมกว่ามาก ใช้เทคโนโลยีช่วยให้หนังมีการดูดซับน้ำน้อยลงกว่าเดิม 
หมายความว่า ถ้าเทียบกับรุ่นเก่าเวลาเปียกน้ำ ลูกบอลรุ่นนี้จะยังคงมีน้ำหนักเบา แต่รุ่นก่อนหน้าจะหนัก ถ้าเตะแรงๆ อาจถึงขั้นขาหักได้เลยทีเดียว!!!

5.1986 : Adidas Azteca

ปีนั้น เม็กซิโก ได้เป็นเจ้าภาพหนสองแบบฉุกละหุกพอสมควร
ภายหลังจาก โคลอมเบีย (ท่าน)านที่ถูกเลือกในตอนแรก มีปัญหาทางด้านการเงินจนต้องถอนตัวออกไป
เพราะฉะนั้น ลูกฟุตบอลเลยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก คุณภาพยังคงเหมือนกับแทงโก้
เพียงแต่เปลี่ยนวัตถุผลิตจากหนังแท้มาเป็นหนังสังเคราะห์


6.1990 : Adidas Etrusco Unico

ลูกฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ลูกฟุตบอลทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อให้ลูกบอล ลูกนี้กันน้ำได้โดยสมบูรณ์ และลวดลาย เป็นลวดลายที่อิงประวัติศาสตร์ของ อิตาลีในยุค Etruscan

7.1994 : Adidas Questra

สหรัฐอเมริกา ชาติที่ถูกค่อนขอดว่าไม่ค่อยประสีประสาเรื่องลูกหนังในเวลานั้น ได้รับเลือกให้จัดมหกรรมลูกหนังโลกเป็นครั้งแรก
พร้อมกับเปิดตัวลูกบอลนวัตกรรมใหม่ “Adidas Questra” ที่มาจาก “Quest for the star” เพราะมันถูกผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางด้านอวกาศ
นั่นคือมีการเพิ่มชั้นของโพลียูริเทนที่ด้านนอก ทำให้น้ำหนักเบาขึ้น กลายเป็นต้นแบบลูกบอลรุ่นใหม่นับแต่นั้นเป็นต้นมาด้วย
ส่งผลให้กองหน้าสามารถควบคุมบอลได้ง่ายกว่าเดิม ที่สำคัญเวลายิงก็ทรงพลังมากขึ้นด้วย
แต่สำหรับบรรดาผู้รักษาประตูกลับบ่นอุบว่า มันคือตัวหายนะทำลายเกมชัดๆ!!!


8.1998 : Tricolore

ด้วยเหตุที่ฝรั่งเศสเป็นชาติเจ้าภาพ และธงชาติของพวกเขามีสามสี 
แดง-ขาว-น้ำเงิน) ลูกบอลตัวนี้เลยถูกเรียกว่า “Tricolore” (สามสี)ให้สอดคล้องกันเสียเลย
อีกทั้งยังได้การบันทึกเป็นครั้งแรก ที่ลายของฟุตบอลไม่ได้มีแต่สีขาว-ดำ 
รวมถึงยังเป็นครั้งแรกที่มีการถักใยโพลียูริเทนลงไปในชั้นของหนังเทียม ทำให้ถ้ามองดูดีๆ มันจะลายน้ำประดับประดาอยู่ด้วย
สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าลูกบอล ตริโกลอร์ยังช่วยผลักดันให้ฝรั่งเศสผงาดแชมป์โลกได้สำเร็จด้วย!!!

9.2002 : Fevernova

ครั้งแรกบนแผ่นดินเอเชียในฐานะเจ้าภาพจัดศึกลูกหนังรายการใหญ่
ด้วยการจับมือร่วมกันของญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ที่จริงๆ แล้วว่ากันว่าไม่ค่อยจะถูกกันนักหรอก
แน่นอนว่าดีไซน์ของ “Fevernova” ย่อมดูโดดเด่นกว่าที่เคย
เพราะขึ้นชื่อว่ามาจากญี่ปุ่น สีสันลวดลายต้องสดใสไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว
จึงไม่แปลกที่บางคนถึงกับบอกว่ามันคล้ายกับสไตล์ของญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี
ยิ่งไปกว่านั้น ฟีเวอร์โนวายังถูกออกแบบน้ำหนักให้เคลื่อนที่ไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น ด้วยขนาดที่ใหญ่และเบา แต่มีคุณสมบัติเหมือนลูกบอลลูนเวลาโดนเตะแรงๆ

10.2006 : Teamgeist

เป็นลูกฟุตบอลที่สวยงามกลมกลึงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อว่า ทีมไกสต์” (Teamgeist) มีความหมายในภาษาเยอรมันว่า ทีมสปิริต 
หรืออธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ จิตวิญญาณแห่งความเป็นทีม เพื่อแสดงการยกย่องต่อความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลเยอรมนี ยึดถือสไตล์การเล่นแบบเป็นทีมมาก กว่าการพึ่ง 
พิงดาราคนใดคนหนึ่งมาโดยตลอด
ลูกบอลรุ่นนี้ลดจำนวนชิ้นของวัสดุที่เอามาใช้เย็บทำลูกบอล จากปกติที่เป็น 5 เหลี่ยม กับ 6 เหลี่ยม รวมกัน 32 ชิ้น เป็นว่าใช้ทั้งหมดแค่ 14 ชิ้น 
การลดชิ้นส่วนวัสดุลงไปนี้ ทำให้มีเส้นรอยต่อน้อยลงจนเป็น ทรงกลมมากกว่าลูกฟุตบอลแบบเดิมๆ ส่งผลให้มันควบคุมได้เยี่ยมยอดขึ้น 
และที่สำคัญก็คือลูกบอลรุ่นนี้ยังถือเป็นอีกครั้งที่ความเร็วของมันสร้างปัญหาให้กับผู้รักษาประตู เพราะมันถูกออกแบบให้ส่ายง่ายมาก หากเผลอนิดเดียวมีสิทธิ์เสียรังวัดเอาง่ายๆหากเผลอนิดเดียว
นอกจากนี้ ในนัดชิงชนะเลิศระหว่างอิตาลีกับฝรั่งเศส ยังมีการทำลูกบอลสีทองเฉพาะขึ้นมาเป็นพิเศษด้วย


11.2010 : Jabulani


เช่นเดียวกับในทัวร์นาเมนต์ เวิลด์ คัพฉบับล่าสุด บนแผ่นดินกาฬทวีป ประเทศแอฟริกาใต้ ที่จัดการเปิดตัวเรียกเสียงฮือฮาไปแล้ว ณ กรุงเคปทาวน์ ตั้งแต่เมื่อวันพุธที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ภายใต้ชื่อเสียงเรียงนาม จาบูลานี่ที่บางคนอาจไม่กระดิกหู แต่มีความหมายถึง การเฉลิมฉลอง” (to celebrate) ในภาษาซูลู ซึ่งเป็น 1 ในภาษาท้องถิ่นแอฟริกาใต้ 
ว่ากันว่า จาบูลานี่ เป็นลูกบอลที่ถูกออกแบบให้มีความ กลมที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยทีเดียว 
ด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบใหม่ล่าสุด ผ่านการทดสอบมาแล้วกับนักเตะระดับโลกจากทีมชั้นนำต่างๆ 
โดยมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ “Grip 'n' Groove” หรือส่วนที่เป็นเกล็ดและร่องบนผิวลูกบอล ทำให้มีความเที่ยงตรงแม่นยำมากที่สุดเวลาลอยอยู่บนอากาศ จับบอลได้แน่นอนทุกสภาพอากาศพื้นผิว 
ส่วนวัสดุที่ใช้มีส่วนประกอบที่เป็นโฟม EVA และ TPU 3 มิติ 8 ชิ้นประกอบกันเป็นลูกฟุตบอล ยึดติดด้วยเทคโนโลยี 3D Thermal Bonding อัดด้วยแรงดันความร้อน ทำให้ลูกบอลกลมกลึงไร้รอยเย็บ แตกต่างจาก ทีมไกสต์ลูกฟุตบอลประจำทัวร์นาเมนต์ เวิลด์ คัพ 2006” ที่เยอรมนี ซึ่งมีเพียง 14 ชิ้น แต่ละชิ้นเป็นรูปยาวรี และรูปทรงกลมสม่ำเสมอทุกด้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น